“เกิดเป็นคน
ควรมีความพยายามอยู่ร่ำไป
จนกว่าจะประสบผลสำเร็จ
นรชนผู้มีปัญญา
แม้ประสบทุกข์ก็ไม่ไร้ซึ่งความหวัง”
พระมหาชนก ฉบับ ญาณวชิระ
พระโพธิสัตว์ ทรงบำเพ็ญพระบารมี ๑๐ ประการ เพื่อปรารถนาความเป็นพระพุทธเจ้ามาหลายภพหลายชาติ จนไม่อาจกำหนดได้ นับตั้งแต่เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นมนุษย์สามัญ เป็นมนุษย์ชั้นสูง จนถึงเป็นพระมหากษัตริย์ แต่ละพระชาติ ทรงบำเพ็ญแต่ละพระบารมี ด้วยจิตใจที่มั่นคง แน่วแน่ จนถึง ๑๐ พระชาติสุดท้าย ก่อนตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ทรงบำเพ็ญพระบารมีอย่างยิ่งยวด (ความนำ จากทศชาติ สู่ ทศบารมี)
ในการเสวยพระชาติเป็นพระมหาชนก พระโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญ
วิริยบารมี
การบำเพ็ญวิริยบารมีด้วยความเพียร ความแกล้วกล้า ไม่เกรงกลัวอุปสรรค พยายาม บากบั่น อุตสาหะ ไม่ทอดทิ้งธุระ หน้าที่มีความเพียรพยายามอยู่ร่ำไป ไม่ท้อถอย จนกว่าจะประสบ ผลสำเร็จ เพียรพยายาม ไม่ทำสิ่งที่เป็นบาป อกุศล เพียรพยายาม ในการทำกุศลให้เกิดขึ้น และเพียรชำระจิตของตนให้ผ่องแผ้ว
ความเพียรพยายาม มีหลายระดับ แต่ที่จะเป็นวิริยบารมี มุ่งเอาความเพียรพยายาม ให้ตนพ้นจากทุกข์ ความเพียรที่จะต้องตั้งไว้อย่างสูงสุด มี ๔ ประการ คือ
สังวรปธาน เพียรระวังบาปอกุศลที่ยังไม่เกิด ไม่ให้เกิดขึ้น
ปหานปธาน เพียรละบาปอกุศล ที่เกิดขึ้นแล้ว
ภาวนาปธาน เพียรทำความดีที่ยังไม่เกิด ให้เกิดขึ้น
อนุรักขนาปธาน เพียรรักษาความดีที่เกิดขึ้นแล้ว ให้ตั้งอยู่
เมื่อพระพุทธเจ้า ยังไม่ได้ตรัสรู้ ยังเป็นพระโพธิสัตว์ ได้ทรงบำเพ็ญวิริยบารมีอย่างแรงกล้า ตามลำดับ ดังนี้
(๑) วิริยบารมี ความเพียรที่มุ่งหวังพระโพธิญาณเป็นเป้าหมาย รักในความเพียรพยายาม เพื่อให้ได้มาซึ่งพระโพธิญาณ ยิ่งกว่าเพียรพยายามให้ได้มาซึ่งทรัพย์สมบัติ ยศถาบรรดาศักดิ์ และคนที่รัก เมื่อต้องเพียรพยายามให้ได้มาซึ่งพระโพธิญาณแล้ว จึงยอมตัดใจ สละได้แม้กระทั่งทรัพย์สมบัติ ยศถาบรรดาศักดิ์ และคนที่รัก
(๒) วิริยอุปบารมี ความเพียรที่มุ่งหวังพระโพธิญาณเป็นเป้าหมาย รักเพียรพยายามเพื่อรักษาไว้ซึ่งพระโพธิญาณ ยิ่งกว่าเพียรพยายามรักษาอวัยวะ ร่างกาย เมื่อต้องเพียรพยายามให้ได้มา ซึ่งพระโพธิญาณแล้ว ก็ไม่คำนึงถึงอวัยวะ ร่างกาย จึงยอมตัดใจสละได้ แม้กระทั่งอวัยวะ ร่างกาย
(๓) วิริยปรมัตถบารมี ความเพียรพยายามที่มุ่งหวังพระโพธิญาณเป็นเป้าหมาย รักเพียรพยายาม เพื่อพระโพธิญาณ ยิ่งกว่าเพียรรักษาชีวิต เมื่อต้องเพียรพยายามให้ได้มาซึ่งพระโพธิญาณแล้ว ก็ไม่คำนึงถึงชีวิต จึงยอมตัดใจสละได้ แม้กระทั่งชีวิต
“มหาชนกชาดก (บำเพ็ญวิริยบารมี) พระโพธิสัตว์ เสวยพระชาติเป็นพระมหาชนก ขณะเสด็จลงสำเภาไปค้าขาย ได้เกิดพายุใหญ่เรือแตกจมลงในมหาสมุทร แม้จะมองไม่เห็นฝั่ง แต่พระมหาชนกก็มิได้ท้อถอย ทรงแหวกว่ายอยู่ในมหาสมุทรถึง ๗ วัน นางมณีเมขลาเทพธิดาผู้รักษามหาสมุทร ได้พูดลองใจให้พระองค์เลิกล้มความพยายาม แต่พระมหาชนกไม่ทรงฟัง ยังเพียรพยายามแหวกว่ายด้วยความมุ่งมั่น นางมณีเมขลาเห็นเช่นนั้น จึงเกิดความเลื่อมใสในความเพียรและให้การช่วยเหลือด้วยการอุ้มพระมหาชนกไปขึ้นฝั่งที่เมืองมิถิลา จนได้ขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้าแผ่นดิน”
จาก อารัมภกถาหนังสือ “ทศชาติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง” ฉบับ ญาณวชิระ
โดย คณะผู้เรียบเรียง ตรวจทานแก้ไขปรับปรุงการใช้ถ้อยคำและสำนวนภาษาไทย
พระธงชัย สุขญาโณ (อดีตพระพรหมสิทธิ)
พระมหาสังคม ญาณวฑฺฒโน (อดีตพระราชอุปเสณาภรณ์)
พระมหาเทอด ญาณวชิโร (อดีตพระราชกิจจาภรณ์)
พระมหาบุญทวี ปญฺญาวํโส (อดีตพระศรีคุณาภรณ์)
พระมหาสมจิตร จิตฺตธมฺโม (พระครูสิริวิหารการ)
วัดสระเกศ ราชวรมหาวิหาร
“ทศชาติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง”
ฉบับ ญาณวชิระ
ขุนเขาย่อมมีวันทลาย สายน้ำย่อมมีวันเปลี่ยนทาง แต่ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง
คติธรรมการรักษาอุโบสถศีล หนทางสู่โพธิญาณของ “พระมหาชนก” จาก หนังสือ “ทศชาติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง” ฉบับ ญาณวชิระ
พระพุทธเจ้าตรัสเล่าเรื่องราวในอดีตชาติของพระองค์ ที่ทรงใช้ความเพียรพยายามอย่างยิ่งยวด กว่าจะผ่านความทุกข์เข็ญ จนได้ออกผนวช เมื่อครั้งเกิดเป็นพระมหาชนก ทรงมีปณิธานอย่างแน่วแน่ ในการบำเพ็ญ “วิริยบารมี” ตั้งใจอย่างเด็ดเดี่ยว ที่จะมีความเพียรพยายาม เพื่อก้าวไปสู่ความสำเร็จ แม้จะประสบกับความทุกข์ยากลำบากขนาดไหน หากยังไม่ประสบผลสำเร็จ ก็จะเพียรพยายามต่อไปไม่ท้อถอย
มหาชนกชาดก ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก และอรรถกถา ขุททกนิกาย ชาดก มหานิบาต
ในที่นี้ขอยกเฉพาะเรื่องการรักษาอุโบสถศีลกลางทะเลของพระมหาชนกมาเป็นพลวปัจจัยในการบำเพ็ญวิริยบารมี อันเป็นเส้นทางสู่โพธิญาณ เพื่อการหลุดพ้นจากทุกข์ในสังสารวัฏ ในพระชาติสุดท้าย
ดังเนื้อความตอนหนึ่งดังนี้
เมื่อครั้งที่พระมหาชนกมีอายุ ๑๖ ปี พระองค์ทรงมีความตั้งใจอย่างเด็ดเดี่ยว ที่จะชิงเอาราชสมบัติของพระบิดาคืนมาให้ได้ แต่ขณะนั้น ยังไม่มีกำลังทรัพย์ ทั้งกำลังทางทหาร ก็ไม่มี พระองค์จึงทูลขอทรัพย์และของมีค่าจากพระมารดาที่นำติดตัวมาเมื่อครั้งหนีออกจากวังหลังจากพระบิดาถูกปลงพระชนม์ เพื่อวางแผนทำการค้าออกเรือ เพื่อกลับไปชิงราชบัลลังก์คืนมา แม้พระมารดาตรัสห้ามเพียงใด พระองค์ก็ทรงไม่เปลี่ยนพระหฤทัย
ในวันที่มหาชนกลงเรือไปค้าขายที่สุวรรณภูมินั้น เหตุการณ์ข้างฝ่ายมิถิลานคร พระเจ้าโปลชนก เกิดประชวรอย่างหนัก พระองค์บรรทมแล้ว ไม่ได้เสด็จลุกขึ้นอีกเลย
ส่วนพวกพ่อค้าชาวสุวรรณภูมิ ประมาณ ๗๐๐ คน แล่นเรือออกสู่มหาสมุทร ไปได้ ๗๐๐ โยชน์ แล่นเรือไปได้ ๗ วัน ก็เผชิญพายุอย่างหนัก คลื่นแรง ท้องทะเล ปั่นป่วน จนไม่อาจบังคับเรือได้ เรือไม่สามารถต้านทานพายุคลื่นที่โหมซัดกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง แผ่นกระดานท้องเรือ ถูกคลื่นซัด ปริร้าว แล้วหลุดแตกกระจายไป ตามแรงคลื่น น้ำไหลทะลักเข้าเรือทุกทิศทุกทาง เรือค่อย ๆ จมลงสู่มหาสมุทร ลูกเรือกลัวตาย ร้องไห้ระงม กราบไหว้อ้อนวอน เทวดาที่ตนเคารพ นับถือ แต่พระมหาชนก ไม่ร้องไห้ ไม่คร่ำครวญ ไม่อ้อนวอนเทวดา ทราบว่า เรือจมแน่ เสี้ยวหนึ่งของความคิด พระมหาชนก รีบคลุกน้ำตาลกรวดกับเนย กินให้อิ่มท้อง เอาผ้าเนื้อเกลี้ยง ๒ ผืน ชุบน้ำมันจนชุ่ม เช็ดถูตามตัว แล้วนุ่งผ้าให้กระชับมั่น เพื่อไม่ให้ร่างกายชุ่มน้ำ และดับกลิ่นกายมนุษย์ แล้วปีนป่ายขึ้นไป บนยอดเสากระโดง ขณะเรือกำลังจมดิ่งลงสู่ท้องทะเล พระมหาชนกมองเห็นปลา เต่า และสัตว์ร้าย นานาชนิด กำลังรุมกินลูกเรืออย่างกระหายเลือด ท้องทะเลขื่นคาว แดงฉานไปด้วยสีเลือด
พระมหาชนกยืนที่ยอดเสากระโดง กำหนดทิศที่เมืองมิถิลานครตั้งอยู่ แล้วโยกปลายเสากระโดง ดีดตัวเองด้วยพละกำลังสุดแรง กระโดดพุ่งออกไป จนข้ามพ้นรัศมีฝูงปลาและเต่า ซึ่งกำลังรุมกินซากลูกเรืออยู่ จึงพ้นจากคมปากของสัตว์ร้ายทั้งหลาย
ขณะเรือวาณิชย์ที่พระมหาชนกโดยสารมา เผชิญกับพายุร้าย จนเรือแตก อับปางลงสู่มหาสมุทร พระเจ้าโปลชนก เสด็จสวรรคต ในวันนั้นนั่นเอง
“พระมหาชนก ว่ายน้ำอยู่ท่ามกลางมหาสมุทรสีมรกตอันกว้างใหญ่ไพศาล ไปตามทิศทางที่กำหนด ผืนน้ำจรดขอบฟ้า เบื้องหน้าไม่เห็นฝั่ง แต่ก็ยังแหวกว่ายอยู่เช่นนั้น ครั้นถึงวันที่ ๗ พระมหาชนก สังเกตท้องฟ้า เห็นพระจันทร์เต็มดวง ก็รู้ว่า เป็นวันเพ็ญอุโบสถ จึงบ้วนปากด้วยน้ำเค็ม แล้วสมาทานอุโบสถศีล กลางมหาสมุทร“
“พระมหาชนก” จาก หนังสือ “ทศชาติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง” ฉบับ ญาณวชิระ
กาลนั้น ท้าวจตุโลกบาล มอบให้นางมณีเมขลาเทพธิดา เป็นผู้คอยช่วยเหลือคนดี ที่ทำกรรมดี เช่น บำรุงเลี้ยงมารดาบิดา เป็นต้น ที่เรืออับปาง ไม่สมควรตายในมหาสมุทร
นางมณีเมขลา ไม่ได้ตรวจตราดูมหาสมุทร มาเป็นเวลา ๗ วัน เมื่อนึกขึ้นได้ ก็ล่วงไป ๗ วันแล้ว นางตรวจดู ก็เห็นพระมหาชนก กำลังแหวกว่ายอยู่ท่ามกลางทะเลอันกว้างใหญ่ไพศาล จึงคิดว่า ถ้าปล่อยให้พระมหาชนก ตายในมหาสมุทร ตนก็จะไม่สามารถมองหน้าเทพตนใดในเทวสมาคมได้อีก จึงปรากฏกายในอากาศ ไม่ไกลจากพระมหาชนกนัก พร้อมกับกล่าวว่า “นั่นใครกัน ทั้งที่มองไม่เห็นฝั่ง ก็ยังอุตส่าห์เพียรพยายามแหวกว่ายอยู่ท่ามกลางมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ จะมีประโยชน์อะไร ที่ต้องเพียรพยายามว่ายน้ำอยู่เช่นนี้”
พระมหาชนกคิดว่า “เราว่ายน้ำอยู่กลางมหาสมุทรมาได้ ๗ วัน เข้าวันนี้แล้ว ไม่เห็นมีใคร นอกจากเราคนเดียว นี่ใคร มาพูดกับเรา” จึงแหงนหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า ก็เห็นมีสตรีนางหนึ่ง ปรากฏกายอยู่ แล้วตอบว่า “เราได้ไตร่ตรอง เห็นถึงปณิธานแห่งชาวโลก และอานิสงส์แห่งความเพียร พยายาม เพราะฉะนั้น แม้มองไม่เห็นฝั่ง เราก็จะเพียรพยายามว่ายน้ำอยู่ท่ามกลางมหาสมุทรต่อไป”
พระมหาชนก ได้พิเคราะห์โดยถี่ถ้วนแล้ว
รู้ธรรมเนียมของโลกว่า ปณิธานแห่งบุรุษ
และอานิสงส์แห่งความเพียรพยายาม
จะไม่สูญเปล่า
จึงเพียรพยายามอยู่เช่นนั้น
“พระมหาชนก” จาก หนังสือ “ทศชาติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง” ฉบับ ญาณวชิระ
นางมณีเมขลา ต้องการฟังธรรมจากพระมหาชนก มากยิ่งขึ้นไป จึงกล่าวอีกว่า “ฝั่งมหาสมุทร อยู่ห่างไกลสุดสายตา พยายามไป ก็ไร้ประโยชน์ ยังไม่ทันถึงฝั่ง ก็จะตายเสียก่อน”
พระมหาชนก ตอบนางมณีเมขลาว่า “เธอพูดอะไรนั่น ถ้าเราได้เพียรพยายามแล้ว แม้จะ ตายไป ก็ไร้คำครหา ผู้ที่มีความเพียรพยายาม แม้จะตาย ก็ไม่เป็นหนี้ เพราะไม่ถูกตำหนิจากหมู่ญาติ จากเทวดา และจากพรหมทั้งหลาย เมื่อได้ทำหน้าที่ของลูกผู้ชาย อย่างองอาจ แม้จะตาย ก็ไม่เสียใจภายหลัง”
เทพธิดา แย้งพระมหาชนกว่า “หน้าที่บางอย่าง เพียรพยายามไป ก็ไร้ประโยชน์ มีแต่ก่อให้เกิดความลำบาก เพียงอย่างเดียว การทำความพยายามกับสิ่งที่ไร้ผล สุดท้าย ก็ตายเปล่า แล้วจะทำความเพียรพยายามไปทำไมกัน”
เมื่อเทพธิดา กล่าวอย่างนี้ พระมหาชนก ต้องการให้นางมณีเมขลา ยอมจำนนต่อความเพียรพยายามของตน จึงกล่าวว่า “แม่เทพธิดา ใครก็ตาม ทั้งที่รู้ว่า สิ่งที่ตนทำ จะไม่ประสบความสำเร็จ ถ้าไร้เสียซึ่งความพยายาม แล้วทอดอาลัยในชีวิต ล้มเลิกความเพียรพยายามกลางคัน ไม่ทำสิ่งนั้นต่อไป เขาก็ย่อมได้รับผลแห่งความเกียจคร้าน
“แต่คนบางคนในโลกนี้ อยู่ได้เพราะความหวัง จึงทำหน้าที่ของตน ด้วยความเพียรพยายาม แม้หน้าที่นั้น จะประสบความสำเร็จ หรือไม่ก็ตาม เธอก็เห็นผลแห่งความเพียรพยายามประจักษ์แจ้ง ด้วยตนเองแล้ว มิใช่หรือ ดูสิ คนอื่น ๆ จมลงในมหาสมุทรกันหมดแล้ว เพราะพวกเขาไร้เสียซึ่งความเพียรพยายาม เราเพียงคนเดียวเท่านั้น ที่ยังเพียรพยายามว่ายน้ำข้ามมหาสมุทรอยู่ จึงมีโอกาสได้มาพบเธอผู้เป็นเทพธิดา เราจะพยายามตามกำลังความสามารถ จะทำความเพียรที่ลูกผู้ชายควรทำ ว่ายน้ำต่อไป จนถึงฝั่งแห่งมหาสมุทร ให้ได้”
เทพธิดา ได้ฟังวาจาอันแสดงความเด็ดเดี่ยว มุ่งมั่น เช่นนั้น จึงสรรเสริญพระมหาชนกว่า “แม้ห้วงน้ำ จะกว้างใหญ่ไพศาล สุดประมาณเช่นนี้ ท่านก็ยังมีความเพียรพยายาม โดยธรรม ด้วยความเพียรแห่งบุรุษ จึงไม่จมลงในห้วงมหรรณพ ท่านจงไปในสถานที่ที่ท่านปรารถนาเถิด”
เทพธิดามณีเมขลา ถามพระมหาชนกว่า “ท่านบัณฑิต ผู้มากด้วยความเพียรพยายาม ท่านจะให้เราไปส่งที่ไหน” พระมหาชนกตอบว่า ต้องการไปกรุงมิถิลานคร
ครั้นแล้ว นางมณีเมขลา จึงช้อน อุ้มพระมหาชนกขึ้น เหมือนมารดาอุ้มบุตร เพราะพระมหาชนกเหนื่อยล้าจากการว่ายน้ำอยู่กลางมหาสมุทร ตลอด ๗ วัน จึงหลับไปในอ้อมกอด ของนางเทพธิดาทันที
นางมณีเมขลา นำพระมหาชนกไปถึงมิถิลานคร ให้บรรทมเบื้องขวา บนแผ่นหินเรียบสนิทดี ในสวนมะม่วงแห่งหนึ่ง มอบให้รุกขเทวดาคอยเฝ้าระวังรักษา แล้วกลับวิมานของตน
อุโบสถศีล หนทางสู่โพธิญาณ
จากการรักษาอุโบสถศีลด้วยวิริยบารมี ทำให้พระมหาชนกได้กลับมาเป็นกษัตริย์ครองราชสมบัติ ณ เมืองมิถิลานครของเสด็จพ่อในกาลก่อน หลังจากพระเจ้าโปลชนกเสด็จสวรรคต ด้วยพิธีอัศวเมธ คือ การที่อำมาตย์ปล่อยราชรถออกไป พร้อมสั่งว่า “จงไปที่อยู่ของผู้ที่มีบุญญาธิการที่จะได้ครองราชสมบัติ” และพระองค์ก็เป็นผู้นั้นที่ได้รับพิธีอภิเษกพระมหากษัตริย์ ได้รับการถวายพระนามว่า “พระมหาชนกราช”
อยู่มาวันหนึ่ง คนดูแลสวน ได้นำผลไม้นานาชนิด ตลอดจนดอกไม้หลากพรรณ มาถวายพระมหาชนก ทอดพระเนตรเห็นแล้ว ทรงยินดี ปรารถนาจะเสด็จประพาสพระราชอุทยาน คนดูแลสวน จึงเตรียมการรับเสด็จ ตามพระราชประสงค์ พระมหาชนก ประทับบนคอช้าง เสด็จออกจากพระนคร มีข้าราชบริพารตามเสด็จ เป็นจำนวนมาก
ขณะพระองค์ เสด็จผ่านประตูพระราชอุทยาน ได้ทอดพระเนตรเห็นต้นมะม่วง ๒ ต้น แผ่กิ่งก้านสาขา เขียวชอุ่ม สง่างาม ต้นหนึ่ง ไม่มีผล อีกต้นหนึ่ง มีผล ต้นที่มีผลนั้น เป็นมะม่วงที่มีรสหอมหวาน ไม่มีใครกล้าเก็บผลมะม่วงจากต้นนั้น เพราะพระราชายังไม่ได้เสวย
พระมหาชนกประทับบนคอช้าง รับสั่งให้คนดูแลสวน เก็บผลมะม่วงผลหนึ่ง มาให้เสวย มะม่วงนั้น มีรสชาติโอชาหอมหวานดุจรสทิพย์ พระองค์ทรงตั้งใจว่า เมื่อกลับออกจากอุทยาน จะเสวยเพิ่มอีก แล้วเสด็จเข้าสู่พระราชอุทยาน ชมสถานที่อื่น ๆ อุปราช ปุโรหิต อำมาตย์ และ ข้าราชบริพาร ตลอดจนตะพุ่นช้าง ตะพุ่นม้า ที่ตามเสด็จ เมื่อรู้ว่า พระราชาเสวยมะม่วงแล้ว ครั้นพระองค์เสด็จคล้อยไปหน่อยหนึ่ง ต่างก็รุมกัน ยื้อแย่งผลมะม่วงที่เหลือ ทำให้ใบมะม่วงร่วง กิ่งฉีก หักเกลื่อน ไม่เหลือสภาพต้นมะม่วงที่สง่างามเหมือนเดิม ส่วนมะม่วงอีกต้น ซึ่งไม่มีผล กลับยืนต้น แผ่กิ่งก้านสาขาเขียวครึ้มสง่างาม
ครั้นพระราชา เสด็จออกจากพระราชอุทยาน ตั้งใจว่า จะเสวยมะม่วงเพิ่มอีก กลับเห็นต้นมะม่วงที่ให้ผลดกหนา อยู่ในสภาพน่าหดหู่เช่นนั้น ส่วนต้นที่ไม่มีผล กลับยืนต้น แผ่กิ่งก้านสาขา เขียวครึ้มสง่างาม จึงตรัสถามเหล่าอำมาตย์ว่า เกิดอะไรขึ้น
เมื่ออำมาตย์กราบทูลให้ทราบถึงสาเหตุที่ต้นมะม่วงกลายสภาพเป็นเช่นนี้ จึงเกิดความสังเวชใจว่า “ต้นมะม่วงต้นหนึ่ง ยังคงแผ่กิ่งก้านสาขาสง่างาม เพราะไม่มีผล แต่อีกต้นที่มีผลดกหนา ถูกยื้อแย่งใบร่วงกิ่งฉีกหักเกลื่อน ราชสมบัติ ก็เหมือนต้นมะม่วงมีผล ต้องคอยเฝ้าหวงแหน ทำให้เกิดความกังวลใจ การบวช เหมือนต้นมะม่วงไร้ผล เพราะไม่มีผลประโยชน์ให้แสวงหา ภัยย่อมมี แก่ผู้มีความกังวล และภัยย่อมไม่มี แก่ผู้ไม่มีความกังวล”
พระมหาชนก ทรงอธิษฐานจิตมั่นว่า
“เราจะไม่เป็นเหมือนต้นมะม่วงมีผล
แต่จะเป็นเหมือนต้นมะม่วงไม่มีผล
เราจะสละราชสมบัติ ออกบวช”
สู่ทางโพธิญาณ
ตั้งแต่วันที่พระองค์ทอดพระเนตรเห็นต้นมะม่วง ที่ประตูพระราชอุทยาน ก็ทรงดำริว่า “การบวชเป็นบรรพชิต ประเสริฐกว่าการเป็นพระราชา เราจะออกบวช” จึงรับสั่งมหาดเล็กเป็นความลับ ให้ซื้อผ้ากาสาวพัสตร์และบาตรดินมาจากตลาด อย่าให้ใครรู้ ให้เรียกเจ้าพนักงานภูษามาลามาปลงผมและหนวด พระราชทานบ้านส่วย เป็นรางวัลแก่พนักงานภูษามาลา แล้วโปรดให้กลับไป
จากนั้น พระองค์ทรงนุ่งผ้ากาสาวพัสตร์ผืนหนึ่ง ห่มผืนหนึ่ง และพาดผืนหนึ่ง ที่พระอังสา สวมบาตรดินในถุง คล้องพระอังสา ทรงถือไม้เท้า เสด็จจงกรมกลับไปกลับมาบนปราสาท ตามอย่างลีลาพระปัจเจกพุทธเจ้า ตลอดทั้งวัน ทรงเปล่งอุทานว่า “โอ การบรรพชา เป็นสุขอย่างยิ่ง เป็นสุขอันประเสริฐเหลือเกิน”
ครั้งนั้น ชาวพระนครทั้งสิ้น ก็เอิกเกริกโกลาหล ชาวเมืองต่างโจษขานกันว่า พระราชาทรงสละราชสมบัติ ออกผนวช ต่างร้องไห้ เสียใจ ต่อการสละพระราชบัลลังก์ของพระราชา
แม้พระนางสีวลี ทรงร้องไห้คร่ำครวญอยู่ ก็ไม่สามารถทำให้พระราชาเสด็จกลับได้ จึงให้เรียกเหล่าอำมาตย์ มาออกอุบาย ตรัสสั่งให้จุดไฟเผาเรือนเก่า ศาลาเก่า ข้างหน้า ตามทางที่พระราชาจะเสด็จผ่านไป ให้เอาหญ้าและใบไม้ มาสุมให้เกิดควันโขมงมากขึ้น ประหนึ่งว่า ไฟลุกไหม้กรุงมิถิลานครแล้ว เหล่าเสนาอำมาตย์ ได้ทำตามพระเทวีรับสั่ง
ภายหลัง เสด็จไปถึงมิถิลานครแล้ว ทรงอภิเษกพระราชโอรส ณ พระราชอุทยานอัมพวัน ทรงส่งพระราชโอรส พร้อมทั้งจาตุรงคเสนา เข้าพระนครไป ส่วนพระองค์ ทรงผนวช ประทับอยู่ ณ พระราชอุทยานนั้น ทรงเพ่งกสิณบริกรรม จนได้บรรลุฌาน ไม่เสื่อมจากฌาน เมื่อสิ้นพระชนม์แล้ว ได้ไปเกิดในพรหมโลก ฝ่ายพระมหาชนก ก็ได้ไปเกิดในพรหมโลก เช่นกัน