วันจตฺตสลฺโลรำลึก : ครบรอบ ๑๖ ปีมรณกาล “ญาถ่านจันทร์” พระมงคลธรรมวัฒน์ (บุญจันทร์ จตฺตสลลฺโล) ๒๗ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๖ (๓) ดงตาเณศ หรือ บ้านตาเณศตามหลักฐานทางโบราณคดี
ดงพระคเณศ หรือ ดงตาเณศ ตามคำเรียกของคนเฒ่าคนแก่ อยู่ห่างจากหมู่บ้านออกไปทางแม่น้ำมูลราวสองกิโลเมตร เป็นสถานที่ขุดพบพระพุทธรูปเงิน พระพิฆเณศวร์ และโคอุสุภราช หรือ โคนันทิ ซึ่งเชื่อว่าเป็นพาหนะประจำองค์พระศิวะตามความเชื่อของพราหมณ์ นอกจากป่าแห่งนี้จะเคยเป็นวัดร้างชุมชน “บ้านตาเณศ” แล้ว บริเวณโดยรอบตามแนวฝั่งแม่น้ำมูล ยังเป็นที่ตั้งของชุมชนโบราณอีกด้วย
เรื่องเล่าเกี่ยวกับดงพระคเณศมีมากมาย
ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ทำให้ชาวบ้านมีความเคารพและยำเกรงต่อสถานที่แห่งนี้
ดงพระคเณศหรือดงตาเณศเคยเป็นวัดร้าง คาดว่าเคยเป็นที่ตั้งของชุมชนโบราณมาแต่บรรพกาลผ่านมาหลายยุคหลายสมัย นอกจากจะเป็นบริเวณสถานที่ขุดพบพระพุทธรูปเงิน พระพิฆเณศวร์ ปลียอดปราสาท และโคอุสุภราชแล้ว บริเวณดงพระคเณศยังเต็มไปด้วยพระพุทธรูปหินและใบเสมาหินน้อยใหญ่ตั้งกระจัดกระจายอยู่ทั่วไป กาลเวลาผ่านไป ความเปลี่ยนแปลงมาเยือน ความไม่เที่ยงเข้ามาแทนที่ ชุมชนหนึ่งเสื่อมสลาย อีกชุมชนหนึ่งเกิดขึ้น เป็นไปตามวัฏจักรแห่งกฎไตรลักษณ์
แม้วันนี้ดงพระคเณศจะไม่หลงเหลือร่องรอยวัตถุที่แสดงถึงความรุ่งโรจน์แห่งอดีตแล้ว แต่สิ่งที่มั่นคงยิ่งกว่าวัตถุ คือ ความเชื่อ ความศรัทธา ความเคารพยำเกรงที่ชาวบ้านปากน้ำมีต่อสถานที่แห่งนี้ และเล่าขานบอกต่อสืบกันมาถึงลูกหลานในปัจจุบัน
ความเชื่อคือสิ่งที่อยู่คู่กับชุมชนมนุษย์มาช้านาน สำหรับลูกหลานชาวบ้านปากน้ำแล้ว ความเชื่อเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตที่หล่อหลอมหมู่บ้านแห่งนี้ขึ้นมา ดำรงอยู่ ส่งต่อ และสืบทอดในวิถีแบบบ้าน ๆ สถานที่ที่ชาวบ้านให้ความยำเกรงมาพร้อมกับการตั้งหมู่บ้านมีหลายแห่ง จากโนนพระเจ้า มาท่าน้ำคำ ถึงหอปู่ จึงเป็นปู่ดงพระคเณศ
ปู่บุ่งสระพังเป็นเรื่องของฤดูกาล ความราบรื่นไม่มีเหตุเภทภัยในการทำมาหากิน ความอุดมสมบูรณ์ ฟ้าฝนตกต้องตามฤดูกาล ส่วนปู่ดงพระคเณศเป็นเรื่องของความร่มเย็นเป็นสุขของหมู่บ้าน การปกปักรักษา การปัดเป่าความทุกข์ความเดือดร้อน ใต้หอปู่บุ่งสระพังมีน้ำส้างศักดิ์สิทธิ์ ใต้หอปู่ดงพระคเณศก็มีน้ำส้างศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน
ใต้หอปู่บุ่งสระพังลงมาจะมีบ่อน้ำที่ชาวบ้านเชื่อกันว่าเป็นบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ มีน้ำอยู่ตลอดทั้งปี ชาวบ้านเรียกว่า “ส้างปู่” เมื่อก่อนใครผ่านไปผ่านมาก็ต้องแวะขอตักน้ำปู่กิน ใครเลี้ยงวัวเลี้ยงควาย มีไร่มีสวนอยู่แถบนี้ก็ต้องกินน้ำส้างปู่ที่ท่าหอปู่กันทั้งนั้น
เวลาชาวบ้านออกไปหาปลาที่แม่น้ำมูล ต้องอยู่ในเรือเป็นเวลานานหลายชั่วโมง บางทีต้องอยู่จนดึกดื่นค่อนคืนจึงขึ้นฝั่งหุงหาข้าวปลากิน เวลาพายเรือมาจากหัวบุ่ง ก่อนออกมูลจะผ่านหอปู่ พ่อต้องแวะตักน้ำที่ส้างปู่ไปกินระหว่างอยู่ในเรือหาปลา
นอกจากนั้น ชาวบ้านยังถือกันมาว่า เวลาไม่สบาย เป็นไข้ ปวดท้อง กินหยูกยาก็ไม่หาย เชื่อว่า ทำอะไรผิดปู่ ผู้เฒ่าผู้แก่มักจะให้ไปเอาน้ำจากหอปู่มากินจึงจะหาย ก็จะพากันมากราบหอปู่หงก ๆ สามที จากนั้นจึงลุกไปตีเกราะไม้ข้างหอบอกกล่าวขอน้ำปู่ แล้วลงมาส้างปู่เอามือกอบน้ำกินสองสามอึก
ด้วยความที่ตั้งแต่โบราณมา ชาวบ้านปากน้ำตั้งหมู่บ้านอยู่ริมบุ่งสระพัง อาศัยหากินอยู่กับบุ่งกับมูล ตลอดริมฝั่งบุ่งสระพังจึงมีท่าน้ำสำหรับลงหาปลาอยู่ตลอดแนว แต่จะเว้นไว้ท่าหนึ่งสำหรับตั้งหอปู่ ซึ่งท่านี้ชาวบ้านถือกันมาว่า จะไม่ลงหาปลา ใครผ่านไปผ่านมาก็ต้องบอกต้องขอปู่ จะว่าไปก็เหมือนกุศโลบายของคนรุ่นปู่รุ่นย่า ให้ปลาได้มีพื้นที่แพร่พันธุ์
ความเชื่อที่ลูกหลานชาวบ้านมีต่อปู่บุ่งสระพัง ถูกสอนกันมาจากรุ่นปู่รุ่นย่าสู่รุ่นพ่อแม่ แล้วส่งต่อถึงลูกหลาน กลายเป็นความยำเกรงที่ถูกสอนกันมาว่า “บ่ให้ข้วมบ่ให้กาย” แล้วช่วยกัน “สืบฮอยตาวาฮอยปู่” จนเชื่อกันว่า ชาวบ้านปากน้ำเป็นลูกหลานจ้าวปู่ แล้วแปรสภาพความเชื่อสู่วิถีชุมชน แม้กระทั่งใครก็ตามที่จะชกมวย ก็ต้องมีฉายานักมวยของตัวเองว่า “ลูกจ้าวปู่” เวลาขึ้นชกมวย ใครมีชื่อนักมวยต่อท้ายว่าลูกเจ้าปู่ ก็เป็นอันรู้กันว่า นักมวยรายนี้เป็นลูกหลานบ้านบาก
ส่วนปู่วัดป่าใครจะเกณฑ์ทหาร ไม่อยากให้ลูกติดทหารก็ต้องมาขอจากปู่วัดป่า อยากเป็นข้าราชการ อยากเลื่อนยศเลื่อนตำแหน่ง อยากมีชื่อเสียงให้ผู้คนรู้จัก อยากให้คนนับหน้าถือตา อยากทำการงานสำเร็จลุล่วง อยากทำมาค้าคล่อง ก็ต้องมากราบมาไหว้ ลูกจะเดินทางไกลไปทำงานกรุงเทพกรุงไท ก็ต้องมากราบมาขอ ให้ปู่ตามรักสมรักษา กลับจากกรุงเทพก็ต้องมาบอกมากล่าวให้ปู่รู้
หากมีอะไรมาต้องมาซูน หรือมีเหตุผิดปกติเกิดขึ้นในหมู่บ้าน ผู้เฒ่าผู้แก่ก็เป็นต้องมาถามปู่วัดป่าว่าจะกันจะแก้อย่างไร
เวลามีบุญศีลกินทานของหมู่บ้าน ผู้เฒ่าผู้แก่เป็นต้องถึงปู่วัดป่าทั้งนั้น ไปบอกให้ขึ้นมาเอาบุญ วันเข้าพรรษาวันออกพรรษาไม่ขาด ต้องมานิมนต์ปู่เข้าพรรษาออกพรรษาทุกปี นับถือกันอย่างนี้มาตั้งแต่รุ่นพ่อรุ่นแม่ จนกลายเป็นคำสอน “อย่าถิ้มอย่าป๋า อย่าแกว่งค้อนกายหมากม่วง”
เมื่อสืบค้นกับหลักฐานทางโบราณคดีก็พบข้อมูลสำคัญบ่งชี้ว่า สถานที่แห่งนี้น่าจะเปลี่ยนผ่านกาลเวลามาหลายยุคหลายสมัย ผ่านความรุ่งโรจน์และเสื่อมสลายสลับกันไป จึงน่าจะเป็นแหล่งโบราณคดีที่ทับถมกันมา ๓ ยุคด้วยกัน คือ
ยุคอาณาจักรเจนละ (ราวพ.ศ. ๑๑๐๐ – ๑๓๐๐ ปี) พบพระพิฆเณศวร์หินทราย, หินปลียอดปราสาท และโคอุสุภราชหินทราย หรืองัวกระทิงหมอบตามความเข้าใจของพ่อ ซึ่งในช่วงเวลานั้นกรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ ทรงดำรงตำแหน่งข้าหลวงต่างพระองค์สำเร็จราชการมณฑลลาวกาว ประทับที่เมืองอุบลราชธานี (พ.ศ. ๒๔๓๖ – ๒๔๕๓ ) คงมีคนไปแจ้งว่า ได้มีชาวบ้านพบพระพิฆเณศวร์หินทราย, หินปลียอดปราสาทอยู่ที่ดงพระคเณศ บ้านบาก จึงให้คนออกมาตรวจสอบและนำไปเก็บไว้ที่ประทับ ณ ตำหนักวังสงัด ใกล้กับทุ่งศรีเมือง
ต่อมา สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสฺโส) ขณะนั้นท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดสุปัฏนาราม (พ.ศ.๒๔๔๖) ได้แนะนำกรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ว่า ของสิ่งนี้ไม่เหมาะที่จะอยู่ในบ้าน ขอให้นำไปถวายวัด กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์จึงนำไปถวายไว้ที่วัดสุปัฏนาราม เมืองอุบลราชธานี พระพิฆเณศวร์หินทราย และหินปลียอดปราสาทซึ่งขุดพบที่ดงพระคเณศจึงถูกนำไปเก็บรักษาไว้ที่วัดสุปัฏนารามมาจนถึงปัจจุบัน
ใครถามถึงพระพิฆเณศวร์ซึ่งพบที่ดงพระคเณศ ชาวบ้านก็มักจะตอบตามที่รู้กันมาว่า อยู่วัดสุปัฏนาราม ชาวบ้านเล่าว่า เมื่อก่อน พระพิฆเณศวร์หินทรายถูกตั้งแสดงไว้กลางแจ้งหน้าอุโบสถวัดสุปัฏนาราม (ราว พ.ศ. 2529) ใครไปใครมาต่างก็บอกว่า พระคเณศจากดงพระคเณศ บ้านบาก ต่อมา ทางวัดได้นำเข้าไปจัดแสดงไว้ในพิพิธภัณฑ์ของวัด
กระแสความหนึ่งฟังมาว่า สมเด็จพระมหาวีรวงศ์รับนิมนต์ไปฉันเพล หรือจะไปเยี่ยมอาการป่วยของกรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ที่ตำหนักวังสงัด ได้เห็นพระพิฆเณศวร์หินทราย และหินปลียอดปราสาทอยู่ในตำหนัก คงเห็นว่า ของสิ่งนี้ไม่เหมาะที่จะอยู่ในบ้านเรือน จึงแนะนำกรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ให้นำไปถวายวัด กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์จึงได้นำพระพิฆเณศวร์หินทราย และหินปลียอดปราสาทไปถวายไว้ที่วัดสุปัฏนาราม
แต่อีกกระแสหนึ่ง ฟังจากคนเฒ่าคนแก่ของหมู่บ้านเล่าต่อกันมาว่า แต่เดิมพระพิฆเณศวร์องค์นี้ พิงต้นบกใหญ่อยู่ดงบก ใกล้ทางลงหาดบุ่งสระพัง ใครผ่านไปผ่านมาก็เห็น แต่ไม่มีใครรู้ว่าเป็นพระอะไร มีความสำคัญอย่างไร อยู่ต่อมา ญาถ่านโสม วัดบ้านวังกางฮุง มาเยี่ยมน้องชายซึ่งมาได้เมียอยู่บ้านบาก เห็นเข้าจึงขอจากชาวบ้าน บอกว่า จะเอาไปถวายสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ วัดสุปัฏนาราม ชาวบ้านก็ยกให้ เพราะไม่รู้ว่าจะเอาไว้ทำอะไร
ตามประวัติที่เล่าต่อกันมา เคยมีพวกยิงสัตว์ข้ามมูลมาจากบ้านท่าหมากมั่ง เข้ามาทุบทำลายพระพุทธรูปในดงพระคเณศ เนื่องจากตามยิงสัตว์ไม่ได้ มันชอบหายไปในดงแห่งนี้ จึงคิดว่า เป็นเพราะพระพุทธรูป และยังมีคนต้องการที่ดินทำไร่อ้อยเข้ามาบุกเบิกถากถางป่าแห่งนี้ ได้ทุบทำลายพระพุทธรูปและได้เคลื่อนย้ายออกไป คนเฒ่าคนแก่เล่าว่า บางองค์ถูกกืงลงไปทิ้งในแม่น้ำมูลก็มี
การพบพระพิฆเณศวร์ไปพิงอยู่ต้นบกใหญ่ ใกล้ทางลงหาดบุ่งสระพัง จะมีความเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ดังกล่าวนี้หรือไม่ ก็ยังสรุปไม่ได้
สำหรับองค์พระพิฆเณศวร์หินทรายซึ่งพบที่บริเวณดงพระคเณศนั้น จะมีเดือยสำหรับต่อกับแท่นหินเพื่อตั้งองค์พระพิฆเณศวร์ แต่ไม่ปรากฏเห็น แสดงว่า ยังมีส่วนที่เป็นแท่นหินสำหรับตั้งอยู่อีก อาจจะหนักเคลื่อนย้ายยากจึงไม่ได้นำขึ้นมา หรือขณะนั้นอาจจะพบเฉพาะส่วนองค์พระพิฆเณศวร์ก็เป็นได้ สำหรับโคอุสุภราชหินทรายได้หายไปจากวัดป่านานมาแล้ว แต่จะหายไปตอนไหนก็คงไม่มีใครรู้
ยุคทวารวดี (ราว พ.ศ.๑๑๐๐ – ๑๗๐๐ ปี) พบพระพุทธรูปนาคปรกหินทราย ๒ องค์ พระสังกัจจายหินทราย และพระพุทธรูปหินทรายปางต่าง ๆ อีกหลายองค์ ปัจจุบัน พระพุทธรูปปางนาคปรกหินทราย และพระสังกัจจาย ประดิษฐานอยู่วัดปากน้ำ
นอกจากนั้น บริเวณวัดป่ายังพบกลุ่มใบเสมาหินทรายหลากหลายขนาดตั้งกระจัดกระจ่ายอยู่ตามป่าเป็นจำนวนมาก เสมาบางอันติดพลอยหลากสีประดับประดาสวยงาม และยังได้ขุดพบโครงกระดูกคนโบราณหลายโครงด้วยกัน ชาวบ้านเรียกว่า “กระดูกคนแปดศอก” ต่อมา พ่อถ่านได้นำชาวบ้านสร้างธาตุบรรจุร่วมกันเอาไว้ เรียกว่า “ธาตุคนแปดศอก”
แต่เมื่อพิจารณาตามข้อมูลทางโบราณคดี ระหว่างเสมาหินทรายยุคหินตั้งซึ่งแสดงความศักดิ์สิทธิ์ของสถานที่ กับเสมาหินทรายที่ใช้กำหนดเขตแดนพัทธสีมา ในสังฆกรรมทางพระพุทธศาสนายุคทวารวดี และศาสนสถานพราหมณ์ยุคเจนละ ที่ซ้อนทับกันอยู่ในบริเวณวัดป่า ก็เป็นการยากที่จะระบุชัดลงไปได้ว่า ยุคไหนจะรุ่งเรืองและเสื่อมสลายก่อนหลังกัน เพราะมีช่วงระยะเวลาที่คาบเกี่ยวกันอยู่
ปัจจุบัน ใบเสมาหินทรายบางส่วนยังอยู่ที่วัดป่า บางส่วนถูกขนย้ายมาเก็บรักษาไว้ที่วัดปากน้ำและถูกบรรจุไว้ใต้ฐานพระพุทธรูป คาดว่าน่าจะมีการขนย้ายขึ้นมา ช่วงที่ชาวบ้านย้ายหมู่บ้านหนีภาวะน้ำท่วมและหนีโรคห่าขึ้นมาอยู่ดงบากใหญ่ และขณะขุดดินเพื่อซ่อมศาล พระมหาไพทูล เจ้าอาวาสวัดป่าพระพิฆเณศวร์ รูปปัจจุบัน แจ้งว่า ได้พบใบเสมาหินอีกสองอันฝังอยู่ใต้ศาล มีขนาดไม่ใหญ่มาก คาดว่า พ่อถ่านจันทร์น่าจะลงอักขระแล้วฝังไว้ตรงสะดือศาล ขณะตั้งศาลปู่ดงพระคเณศครั้งก่อน
ยุคพระวอ-พระตาตั้งเมืองดอนมดแดง (ราว พ.ศ. ๒๓๑๑ ) ขุดพบพระพุทธรูปบุเงิน ศิลปะเชียงแสน ล้านช้าง (หลวงพ่อเงิน) ถูกฝังไว้ภายในกล่องหินภายในเต็มไปด้วยทราย พระผงหว่านจำปาสัก และพระในรูปแบบอื่น ๆ อีกจำนวนมาก ปัจจุบัน อัญเชิญมาประดิษฐานอยู่วัดปากน้ำ ซึ่งเป็นวัดประจำหมู่บ้าน ขณะขุดพบพระพุทธรูปนั้น บ้านบากขึ้นกับตำบลดอนมดแดง ก่อนจะมีการแบ่งเขตการปกครองใหม่มาขึ้นกับตำบลกุดลาด อำเภอเมือง
เมื่อก่อนมักจะได้ยินเรื่องเล่าปรัมปราของหมู่บ้านเกี่ยวกับดงพระคเณศ ที่พูดถึงกองทัพช้าง กองทัพม้า ของปู่วัดป่า ขึ้นมาเดินตรวจตราตามหมู่บ้านอยู่เสมอ บ้างก็ว่า มีดวงไฟเท่าจาวมะพร้าวสุกสว่างลอยจากหอปู่บุ่งสระพังมาดงพระคเณศ แล้วลอยจากดงพระคเณศขึ้นมาหมู่บ้าน คนเฒ่าคนแก่จะบอกลูกบอกหลานว่า ปู่วัดป่าท่านขึ้นมาเยี่ยมกัน บ้างก็ว่า เห็นไฟพะเนียงพุ่งขึ้นจากดินแล้ววิ่งหายเข้าไปในป่าโนนบกบ้าง บางทีก็พุ่งขึ้นจากป่าโนนบกหายเข้าไปในวัดป่าบ้าง บางทีก็หายไปทางหนองสะทังบ้าง บางคนก็ว่า ปู่ย้ายสมบัติหนีเพราะกลัวคนหาเจอ ตกถึงวันพระใหญ่ก็มักจะเห็นแสงไฟสีเขียวเท่าลำตาลพุ่งขึ้นจากโนนบกสุกสว่างมาทางวัดป่ามองเห็นจากที่ไกลเป็นกิโลเมตร จากนั้น ก็จะตามมาด้วยเสียงฆ้องทองคำใหญ่ดังสะท้อนมาจากหนองสะทัง ใครเจตนาไม่ดี ไม่มีบุญไม่มีบารมี คิดจะไปเอาสมบัติปู่ หากไม่เจองูใหญ่ไล่ก็มีอันได้ว่ายบกกันทุกคน
ความยำเกรงที่ชาวบ้านปากน้ำมีต่อปู่บุ่งสระพังและปู่ดงพระคเณศกลายเป็นเรื่องเล่าปรัมปราที่สะท้อนถึงความเชื่อความศรัทธาที่ดำรงอยู่ในวิถีชีวิตแบบบ้าน ๆ แล้วส่งต่อสู่ลูกหลาน ผ่านการปฏิบัติตาม ฮีตคลอง ต้องเลี้ยงปู่เลี้ยงตาเป็นประจำทุกปี จนเป็นแบบแผนของชุมชน ไม่ว่าหลักฐานทางโบราณคดีจะบ่งชี้ไปอย่างไร ก็ไม่ได้ทำให้แบบแผนชีวิต ฮีตคลอง และความเชื่อของชุมชนแห่งนี้เปลี่ยนแปลงไป